แนวคิดและกระบวนการอบรม IPMT
• การฝึกฝนการรับรู้ทางประสาทสัมผัสและวิธีการคิด เพื่อเป็นพื้นฐานสู่ความสามารถใหม่ ๆ ในการวินิจฉัย
• แนวทางเบื้องต้นเชิงปฏิบัติเพื่อเข้าสู่การวินิจฉัยและบำบัดโรคด้วยยาแผนมนุษยปรัชญา กิจกรรมศิลปะ ยูริธมี่บำบัด และวีธีการอื่น ๆ
• จริยธรรมทางวิชาชีพและการฝึกฝนการพัฒนาด้านในตามที่จำเป็นสำหรับการทำความเข้าใจวิชาชีพของตนเอง การสร้างความสัมพันธ์ในการบำบัด และจัดตั้งชุมชนเพื่อการบำบัดขึ้น
การฝึกฝนการรับรู้ทางประสาทสัมผัสและวิธีการคิด
1. ช่วงเช้าเริ่มต้นด้วยศิลปะใหม่ในการเคลื่อนไหว - ยูริธมี่ ซึ่งพัฒนาขึ้นในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 โดย Rudolf Steiner ร่วมกับ Marie Steiner ศิลปินด้านการออกเสียงและการเคลื่อนไหว กระบวนการทั้งหลายในธรรมชาติ มนุษย์ รวมทั้งศิลปะ สามารถมองเห็นได้โดยผ่านการเคลื่อนไหว ดังนั้น การเคลื่อนไหวในรูปยูริธมี่จึงไม่มีลักษณะที่เป็นสัญลักษณ์ แต่จะสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวสร้างรูปที่เกิดขึ้นภายในและท่วงท่าการจัดรูปทรงต่าง ๆ มากกว่า ซึ่งก็เหมือนกันกับการที่สองสิ่งนี้สอดคล้องกับภาษาการสร้างรูปแบบในเขตแดนของธรรมชาติและการออกเสียงของมนุษย์ อันเป็นแม่แบบตัวอักษรของสระและพยัญชนะที่พบได้ในทุก ๆ ภาษา เมื่อเราแสดงและฝึกฝนท่าทางการเคลื่อนไหวเหล่านี้ (ยูริธมี่ในฐานะ "คำพูดที่มองเห็นได้" ) เราอาจเกิดความตระหนักอย่างละเอียดลออมากขึ้นต่อกระบวนการก่อเกิดโครงสร้างและรูปร่างต่าง ๆ ในธรรมชาติและมนุษย์ ทั้งยังต่อเนื่องไปถึงกระบวนการของความเจ็บไข้ได้ป่วยและการบำบัดรักษาด้วย
ระหว่างการอบรมภาคแรกมีการสอนสระและพยัญชนะพื้นฐาน ฝึกท่าทางเคลื่อนไหวของเสียงเหล่านี้ และศึกษาภาพร่างรูปแบบการเคลื่อนไหวที่ Rudolf Steiner วาด ในการอบรมครั้งต่อ ๆ ไป จะเพิ่มท่าทางต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับระดับเสียงและขั้นคู่ (interval) ในดนตรี รวมทั้งท่าทางของจักรวาลในขอบเขตการเคลื่อนไหวของหมู่ดาวเคราะห์และท่าทางต่าง ๆ ของจักรราศีด้วย
2. หลังจากผ่านการแนะนำเข้าสู่การทำงานตามวิธีปรากฏการณ์วิทยาของ J.W.v Goethe (1749-1832 ) แล้ว จะแบ่งกลุ่มย่อยเพื่อให้ทุกคนได้มีโอกาสเรียนรู้ผ่านปฏิสัมพันธ์
ตามความเห็นของ Goethe กระบวนการต่าง ๆ ซึ่งเรารู้จักในนามสถานะของสสารในปรากฏการณ์ธรรมชาติ (หรือธาตุทั้ง 4 ตามนัยทฤษฎีอุตุนิยมวิทยาของอริสโตเติล) ได้แก่ สถานะของแข็ง (กลศาสตร์) สถานะของเหลว (hydraulics) สถานะแก๊ส (aerodynamics) และสถานะบริสุทธิ์ของสสารที่ไม่สามารถอธิบายทางกายภาพได้ เช่น ความร้อน (thermodynamics) นั้น มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับความเป็นไปได้และประสบการณ์ภายในของกิจกรรมทางจิตและวิญญาณ Goethe ได้อธิบายถึงความจริงข้อนี้ตลอดชีวิตการทำงานของเขา
ดวงตาก่อเกิดขึ้นจากแสงเพื่อให้มองเห็นแสง กระดูกเท้าพัฒนาได้เต็มที่จากการเดิน และอวัยวะทุกอย่างพัฒนาการทำงานได้อย่างเชี่ยวชาญด้วยการใช้งานฉันใด มนุษย์ก็สามารถรับรู้และเข้าใจได้เฉพาะสิ่งต่าง ๆ ที่ตนเองได้มีประสบการณ์ รู้สึก และนึกคิดกับมันฉันนั้น Goethe ยังได้ประมวลวิถีชีวิตในเชิงศาสนาและจริยธรรมไว้ว่า "เราเรียนรู้ที่จะเข้าใจได้กับสิ่งที่เรามีความรักต่อมันเท่านั้น" การพัฒนาความรักให้เป็นแหล่งพลังของกระบวนการรับรู้ และนำไปสู่การก่อเกิดความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นในระดับจิตวิญญาณ คือจุดมุ่งหมายในการทำงานของเรา ดังที่ Goethe กล่าวไว้ว่า ประเภทของการสังเกตต้องทำให้เป็นไปตามประเภทของสิ่งที่สังเกต
3. ลำดับที่สามต่อจากการเคลื่อนไหวและการสนทนาในใจกับธรรมชาติโดยใช้การสังเกตแบบ Goethe จะเป็นการฝึกฝนการคิด โดยใช้เนื้อหาของบทต่าง ๆ ในหนังสือ Fundamentals of Therapy ซึ่ง Steiner และ Wegman เขียนร่วมกัน หลังจากแนะนำสั้น ๆ แล้วก็จะเป็นการทำงานด้วยกันในกลุ่มย่อยกลุ่มเดียวกับที่ศึกษาเรื่องการสังเกตแบบ Goethe วิถีการศึกษาเรื่องความคิดโดยใช้เนื้อหาในหนังสือจะแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน คือ
a) อ่านเนื้อหา ใส่เลขลำดับย่อหน้า ทำความเข้าใจกับสิ่งที่กล่าวหรือเขียนถึง ส่วนการเชื่อมโยงซึ่งยังไม่เป็นที่เข้าใจหรือก่อให้เกิดคำถาม ให้บันทึกไว้สำหรับการสนทนาแลกเปลี่ยนเพิ่มเติมถ้าหากว่ายังไม่สามารถหาคำตอบซึ่งเป็นที่พอใจได้ในเวลานั้น
b) ติดตามกระบวนความคิดตั้งแต่เริ่มย่อหน้าแรกจนถึงย่อหน้าสุดท้าย ความคิดหนึ่งเชื่อมต่อกับอีกความคิดหนึ่งอย่างไร? กระบวนความคิดดูเหมือนขาดช่วงไปตรงจุดใดเพื่อที่จะดำเนินต่อไปในจุดอื่น? ความคิดใหม่ ๆ เริ่มขึ้นตรงไหน อยู่ถัดจากความคิดแรกและความคิดที่สองตรงไหน ซึ่งอาจเป็นไปโดยไม่มีความเชื่อมโยงอะไรที่มองเห็นเลยก็ได้ เส้นสายที่ร้อยความคิดเหล่านี้เข้าด้วยกันคืออะไร? เราอยู่ในฐานะที่จะสามารถสร้างขบวนความคิดซึ่งพัฒนาโดย Steiner ขึ้นมาใหม่ด้วยตัวเราเองได้หรือไม่? และหลักฐานภายในของความคิดเหล่านี้ล่ะ?
c) ในขณะที่ขั้นตอนแรกและขั้นตอนที่สองเป็นเรื่องของวิธีการที่เนื้อหาถูกหยิบยกมาเป็นรูปแบบของความคิด ขั้นตอนที่สามจุดสำคัญจะอยู่ที่การทำความเข้าใจกับองค์ประกอบของเนื้อหาในบทโดยรวม จุดเริ่มต้นและจุดลงท้ายของบทสัมพันธ์กันอย่างไร? ในแต่ละย่อหน้าประเด็นสำคัญต่าง ๆ เผยตัวออกมาเองหรือว่าทั้งหมดเคลื่อนไปสู่จุดสำคัญสุดซึ่งเป็นจุดที่ครอบคลุมทั้งหมด? ความคิดหนึ่งพัฒนาขึ้นมาจากความคิดอื่นในลักษณะความคิดชี้นำซึ่งมีท่วงทำนองไปในทางปั้นแต่ง หรือเป็นในลักษณะให้แรงบันดาลใจมากกว่า โดยที่ความคิดหนึ่ง ๆ ไม่ได้เชื่อมต่อโดยตรงกับความคิดต่อมา แต่ออกจะเป็นความเชื่อมโยงที่ให้ความกระจ่างอย่างหลวม ๆ หรือก็คือ ในแบบที่ช่วยเสริม ในขั้นตอนที่สามซึ่งเป็นเรื่องของการเข้าถึงอย่างลึกซึ้งและมีศิลปะมากขึ้นกับวิธีจัดโครงสร้างภายในและภายนอกของเนื้อหาในบท มีความเป็นไปได้ที่ปริศนาของเนื้อหาจะเผยออกมาในลักษณะที่สัมผัสได้ง่ายขึ้นในเชิงงานศิลปะหรืองานประพันธ์ โดยวิธีนี้การทำความเข้าใจเนื้อหาและความสัมพันธ์ทางความคิดให้ลึกซึ้งขึ้นจึงอาจเป็นไปได้
d) จากนั้นขั้นตอนสูงสุดในการทำความกระจ่างต่อความคิดและความเข้าใจคือการพยายามเข้าถึงเนื้อแท้หรือ "แก่น" ของเนื้อความ งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์เชิงจิตวิญญาณของ Rudolf Steiner อยู่บนฐานของประสบการณ์ที่เหนือการรับรู้ทางประสาทสัมผัส ซึ่งเขาสามารถถ่ายทอดออกมาเป็นแนวคิดและการเชื่อมโยงทางความคิดที่ชัดเจนได้ พร้อมกันนั้นเขายังสามารถถอดออกมาเป็นถ้อยคำซึ่งเป็นที่เข้าใจและถ่ายทอดใหม่ได้ในหมู่คนยุคปัจจุบัน เราต้องการย้อนรอยกลับไป โดยเริ่มจากเนื้อความที่เขียนขึ้น ไปยังประสิทธิภาพแห่งความคิด ต่อเนื่องไปสู่การเผยให้เห็นอย่างมีศิลปะ และท้ายที่สุดสู่แก่นของสิ่งซึ่งเป็นที่ประจักษ์และได้รับการกล่าวถึง
การวินิจฉัย การทดลองทางเภสัชศาสตร์และการบำบัด
ในขั้นแรก เราจะศึกษาเรื่องการวินิจฉัยองค์ประกอบต่าง ๆ ของมนุษย์และการบำบัดที่เกิดขึ้นจากการวินิจฉัยเหล่านี้ โดยใช้กรณีศึกษาจากหนังสือ Fundamentals of Therapy ของ Steiner/Wegman หรือจากกรณีที่เกิดขึ้นจริงในการทำงานประจำวันของเรา การศึกษาเรื่องนี้จะใช้เวลาภาคบ่าย 2 วันติดต่อกัน บ่ายวันแรก วิธีการวินิจฉัยจะเป็นเรื่องหลัก จากนั้นจะนำความเป็นไปได้ของช่วงเวลากลางคืนมาใช้ประโยชน์ในเชิงปฏิบัติ ถ้าเรามีภาพของกรณีศึกษา สถานการณ์รูปธรรมที่เกิดขึ้นกับคนไข้โดยมีรายละเอียดมากเท่าที่จะหาได้ คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ ทั้งหมดนี้บอกให้รู้อะไรเกี่ยวกับการบำบัดที่อาจทำได้ และเป้าหมายในการบำบัดของเรา?
นำคำถามนี้ติดตัวไปด้วยเวลาเข้านอน คอยสังเกตดูว่าจะมีแง่มุมใดเผยตัวออกมาหรือไม่อย่างไรเมื่อเรายกระดับความคิดของเราเองเกี่ยวกับภาวะความเจ็บป่วยและสุขภาพของผู้ป่วยสู่ปัญญาขั้นสูงขึ้นไปอีก ตามคำกล่าวโบราณที่ว่า "อรุณรุ่งชาญฉลาดกว่าสายัณห์" การมองเวลากลางคืนจากมุมของวิทยาศาสตร์เชิงจิตวิญญาณแสดงให้เห็นว่า ขณะที่เรามองทุกสิ่งทุกอย่างในเวลากลางวันในด้านวัตถุธาตุ-กายภาพด้วยประสาทสัมผัสทั้งหลายของเรา ในเวลากลางคืนเรากลับมองสิ่งเดียวกันนั้นในด้านสังคม-จริยธรรม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ด้านจิต-วิญญาณ ดังนั้น เราจึงกำหนดบางกรณีศึกษาไว้ในช่วงที่มีเวลากลางคืนคั่นระหว่างการอภิปรายเรื่องการวินิจฉัยกับเรื่องการบำบัด เพื่อช่วยให้เราเรียนรู้ที่จะสังเกตว่าความคิดหรือความเห็นบางอย่างสามารถแปรเปลี่ยนตัวเองได้เพียงจากการที่เราตั้งใจเก็บความคิดเห็นนั้นติดตัวไปในยามกลางคืน
จริยธรรมทางวิชาชีพ การตริตรอง และการพัฒนาตนเอง
เราจะสร้างปัจจัยพื้นฐานในการพัฒนาตนเองและการเรียนรู้ที่จะตริตรองในใจตามวิถีแห่งมนุษยปรัชญาขึ้นมา โดยสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการทบทวนและการฉายภาพล่วงหน้าในแต่ละวัน พร้อมทั้งคำถามจากผู้เข้าร่วมการอบรม การอบรมจะแสดงให้เห็นและบรรลุถึงการประจักษ์ภายในว่าการพัฒนาทางจริยธรรม-คุณธรรมนั้นเป็นแหล่งในการสร้างเสริมสุขภาพที่ทรงพลังที่สุด สิ่งที่ Paracelsus เคยกล่าวไว้อาจกลายเป็นความจริงก็ได้ว่า ถึงที่สุดแล้ว พลังแห่งการเยียวยาที่แท้มีอยู่เพียงประการเดียว นั่นคือความรัก
• แนวทางเบื้องต้นเชิงปฏิบัติเพื่อเข้าสู่การวินิจฉัยและบำบัดโรคด้วยยาแผนมนุษยปรัชญา กิจกรรมศิลปะ ยูริธมี่บำบัด และวีธีการอื่น ๆ
• จริยธรรมทางวิชาชีพและการฝึกฝนการพัฒนาด้านในตามที่จำเป็นสำหรับการทำความเข้าใจวิชาชีพของตนเอง การสร้างความสัมพันธ์ในการบำบัด และจัดตั้งชุมชนเพื่อการบำบัดขึ้น
การฝึกฝนการรับรู้ทางประสาทสัมผัสและวิธีการคิด
1. ช่วงเช้าเริ่มต้นด้วยศิลปะใหม่ในการเคลื่อนไหว - ยูริธมี่ ซึ่งพัฒนาขึ้นในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 โดย Rudolf Steiner ร่วมกับ Marie Steiner ศิลปินด้านการออกเสียงและการเคลื่อนไหว กระบวนการทั้งหลายในธรรมชาติ มนุษย์ รวมทั้งศิลปะ สามารถมองเห็นได้โดยผ่านการเคลื่อนไหว ดังนั้น การเคลื่อนไหวในรูปยูริธมี่จึงไม่มีลักษณะที่เป็นสัญลักษณ์ แต่จะสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวสร้างรูปที่เกิดขึ้นภายในและท่วงท่าการจัดรูปทรงต่าง ๆ มากกว่า ซึ่งก็เหมือนกันกับการที่สองสิ่งนี้สอดคล้องกับภาษาการสร้างรูปแบบในเขตแดนของธรรมชาติและการออกเสียงของมนุษย์ อันเป็นแม่แบบตัวอักษรของสระและพยัญชนะที่พบได้ในทุก ๆ ภาษา เมื่อเราแสดงและฝึกฝนท่าทางการเคลื่อนไหวเหล่านี้ (ยูริธมี่ในฐานะ "คำพูดที่มองเห็นได้" ) เราอาจเกิดความตระหนักอย่างละเอียดลออมากขึ้นต่อกระบวนการก่อเกิดโครงสร้างและรูปร่างต่าง ๆ ในธรรมชาติและมนุษย์ ทั้งยังต่อเนื่องไปถึงกระบวนการของความเจ็บไข้ได้ป่วยและการบำบัดรักษาด้วย
ระหว่างการอบรมภาคแรกมีการสอนสระและพยัญชนะพื้นฐาน ฝึกท่าทางเคลื่อนไหวของเสียงเหล่านี้ และศึกษาภาพร่างรูปแบบการเคลื่อนไหวที่ Rudolf Steiner วาด ในการอบรมครั้งต่อ ๆ ไป จะเพิ่มท่าทางต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับระดับเสียงและขั้นคู่ (interval) ในดนตรี รวมทั้งท่าทางของจักรวาลในขอบเขตการเคลื่อนไหวของหมู่ดาวเคราะห์และท่าทางต่าง ๆ ของจักรราศีด้วย
2. หลังจากผ่านการแนะนำเข้าสู่การทำงานตามวิธีปรากฏการณ์วิทยาของ J.W.v Goethe (1749-1832 ) แล้ว จะแบ่งกลุ่มย่อยเพื่อให้ทุกคนได้มีโอกาสเรียนรู้ผ่านปฏิสัมพันธ์
ตามความเห็นของ Goethe กระบวนการต่าง ๆ ซึ่งเรารู้จักในนามสถานะของสสารในปรากฏการณ์ธรรมชาติ (หรือธาตุทั้ง 4 ตามนัยทฤษฎีอุตุนิยมวิทยาของอริสโตเติล) ได้แก่ สถานะของแข็ง (กลศาสตร์) สถานะของเหลว (hydraulics) สถานะแก๊ส (aerodynamics) และสถานะบริสุทธิ์ของสสารที่ไม่สามารถอธิบายทางกายภาพได้ เช่น ความร้อน (thermodynamics) นั้น มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับความเป็นไปได้และประสบการณ์ภายในของกิจกรรมทางจิตและวิญญาณ Goethe ได้อธิบายถึงความจริงข้อนี้ตลอดชีวิตการทำงานของเขา
ดวงตาก่อเกิดขึ้นจากแสงเพื่อให้มองเห็นแสง กระดูกเท้าพัฒนาได้เต็มที่จากการเดิน และอวัยวะทุกอย่างพัฒนาการทำงานได้อย่างเชี่ยวชาญด้วยการใช้งานฉันใด มนุษย์ก็สามารถรับรู้และเข้าใจได้เฉพาะสิ่งต่าง ๆ ที่ตนเองได้มีประสบการณ์ รู้สึก และนึกคิดกับมันฉันนั้น Goethe ยังได้ประมวลวิถีชีวิตในเชิงศาสนาและจริยธรรมไว้ว่า "เราเรียนรู้ที่จะเข้าใจได้กับสิ่งที่เรามีความรักต่อมันเท่านั้น" การพัฒนาความรักให้เป็นแหล่งพลังของกระบวนการรับรู้ และนำไปสู่การก่อเกิดความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นในระดับจิตวิญญาณ คือจุดมุ่งหมายในการทำงานของเรา ดังที่ Goethe กล่าวไว้ว่า ประเภทของการสังเกตต้องทำให้เป็นไปตามประเภทของสิ่งที่สังเกต
3. ลำดับที่สามต่อจากการเคลื่อนไหวและการสนทนาในใจกับธรรมชาติโดยใช้การสังเกตแบบ Goethe จะเป็นการฝึกฝนการคิด โดยใช้เนื้อหาของบทต่าง ๆ ในหนังสือ Fundamentals of Therapy ซึ่ง Steiner และ Wegman เขียนร่วมกัน หลังจากแนะนำสั้น ๆ แล้วก็จะเป็นการทำงานด้วยกันในกลุ่มย่อยกลุ่มเดียวกับที่ศึกษาเรื่องการสังเกตแบบ Goethe วิถีการศึกษาเรื่องความคิดโดยใช้เนื้อหาในหนังสือจะแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน คือ
a) อ่านเนื้อหา ใส่เลขลำดับย่อหน้า ทำความเข้าใจกับสิ่งที่กล่าวหรือเขียนถึง ส่วนการเชื่อมโยงซึ่งยังไม่เป็นที่เข้าใจหรือก่อให้เกิดคำถาม ให้บันทึกไว้สำหรับการสนทนาแลกเปลี่ยนเพิ่มเติมถ้าหากว่ายังไม่สามารถหาคำตอบซึ่งเป็นที่พอใจได้ในเวลานั้น
b) ติดตามกระบวนความคิดตั้งแต่เริ่มย่อหน้าแรกจนถึงย่อหน้าสุดท้าย ความคิดหนึ่งเชื่อมต่อกับอีกความคิดหนึ่งอย่างไร? กระบวนความคิดดูเหมือนขาดช่วงไปตรงจุดใดเพื่อที่จะดำเนินต่อไปในจุดอื่น? ความคิดใหม่ ๆ เริ่มขึ้นตรงไหน อยู่ถัดจากความคิดแรกและความคิดที่สองตรงไหน ซึ่งอาจเป็นไปโดยไม่มีความเชื่อมโยงอะไรที่มองเห็นเลยก็ได้ เส้นสายที่ร้อยความคิดเหล่านี้เข้าด้วยกันคืออะไร? เราอยู่ในฐานะที่จะสามารถสร้างขบวนความคิดซึ่งพัฒนาโดย Steiner ขึ้นมาใหม่ด้วยตัวเราเองได้หรือไม่? และหลักฐานภายในของความคิดเหล่านี้ล่ะ?
c) ในขณะที่ขั้นตอนแรกและขั้นตอนที่สองเป็นเรื่องของวิธีการที่เนื้อหาถูกหยิบยกมาเป็นรูปแบบของความคิด ขั้นตอนที่สามจุดสำคัญจะอยู่ที่การทำความเข้าใจกับองค์ประกอบของเนื้อหาในบทโดยรวม จุดเริ่มต้นและจุดลงท้ายของบทสัมพันธ์กันอย่างไร? ในแต่ละย่อหน้าประเด็นสำคัญต่าง ๆ เผยตัวออกมาเองหรือว่าทั้งหมดเคลื่อนไปสู่จุดสำคัญสุดซึ่งเป็นจุดที่ครอบคลุมทั้งหมด? ความคิดหนึ่งพัฒนาขึ้นมาจากความคิดอื่นในลักษณะความคิดชี้นำซึ่งมีท่วงทำนองไปในทางปั้นแต่ง หรือเป็นในลักษณะให้แรงบันดาลใจมากกว่า โดยที่ความคิดหนึ่ง ๆ ไม่ได้เชื่อมต่อโดยตรงกับความคิดต่อมา แต่ออกจะเป็นความเชื่อมโยงที่ให้ความกระจ่างอย่างหลวม ๆ หรือก็คือ ในแบบที่ช่วยเสริม ในขั้นตอนที่สามซึ่งเป็นเรื่องของการเข้าถึงอย่างลึกซึ้งและมีศิลปะมากขึ้นกับวิธีจัดโครงสร้างภายในและภายนอกของเนื้อหาในบท มีความเป็นไปได้ที่ปริศนาของเนื้อหาจะเผยออกมาในลักษณะที่สัมผัสได้ง่ายขึ้นในเชิงงานศิลปะหรืองานประพันธ์ โดยวิธีนี้การทำความเข้าใจเนื้อหาและความสัมพันธ์ทางความคิดให้ลึกซึ้งขึ้นจึงอาจเป็นไปได้
d) จากนั้นขั้นตอนสูงสุดในการทำความกระจ่างต่อความคิดและความเข้าใจคือการพยายามเข้าถึงเนื้อแท้หรือ "แก่น" ของเนื้อความ งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์เชิงจิตวิญญาณของ Rudolf Steiner อยู่บนฐานของประสบการณ์ที่เหนือการรับรู้ทางประสาทสัมผัส ซึ่งเขาสามารถถ่ายทอดออกมาเป็นแนวคิดและการเชื่อมโยงทางความคิดที่ชัดเจนได้ พร้อมกันนั้นเขายังสามารถถอดออกมาเป็นถ้อยคำซึ่งเป็นที่เข้าใจและถ่ายทอดใหม่ได้ในหมู่คนยุคปัจจุบัน เราต้องการย้อนรอยกลับไป โดยเริ่มจากเนื้อความที่เขียนขึ้น ไปยังประสิทธิภาพแห่งความคิด ต่อเนื่องไปสู่การเผยให้เห็นอย่างมีศิลปะ และท้ายที่สุดสู่แก่นของสิ่งซึ่งเป็นที่ประจักษ์และได้รับการกล่าวถึง
การวินิจฉัย การทดลองทางเภสัชศาสตร์และการบำบัด
ในขั้นแรก เราจะศึกษาเรื่องการวินิจฉัยองค์ประกอบต่าง ๆ ของมนุษย์และการบำบัดที่เกิดขึ้นจากการวินิจฉัยเหล่านี้ โดยใช้กรณีศึกษาจากหนังสือ Fundamentals of Therapy ของ Steiner/Wegman หรือจากกรณีที่เกิดขึ้นจริงในการทำงานประจำวันของเรา การศึกษาเรื่องนี้จะใช้เวลาภาคบ่าย 2 วันติดต่อกัน บ่ายวันแรก วิธีการวินิจฉัยจะเป็นเรื่องหลัก จากนั้นจะนำความเป็นไปได้ของช่วงเวลากลางคืนมาใช้ประโยชน์ในเชิงปฏิบัติ ถ้าเรามีภาพของกรณีศึกษา สถานการณ์รูปธรรมที่เกิดขึ้นกับคนไข้โดยมีรายละเอียดมากเท่าที่จะหาได้ คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ ทั้งหมดนี้บอกให้รู้อะไรเกี่ยวกับการบำบัดที่อาจทำได้ และเป้าหมายในการบำบัดของเรา?
นำคำถามนี้ติดตัวไปด้วยเวลาเข้านอน คอยสังเกตดูว่าจะมีแง่มุมใดเผยตัวออกมาหรือไม่อย่างไรเมื่อเรายกระดับความคิดของเราเองเกี่ยวกับภาวะความเจ็บป่วยและสุขภาพของผู้ป่วยสู่ปัญญาขั้นสูงขึ้นไปอีก ตามคำกล่าวโบราณที่ว่า "อรุณรุ่งชาญฉลาดกว่าสายัณห์" การมองเวลากลางคืนจากมุมของวิทยาศาสตร์เชิงจิตวิญญาณแสดงให้เห็นว่า ขณะที่เรามองทุกสิ่งทุกอย่างในเวลากลางวันในด้านวัตถุธาตุ-กายภาพด้วยประสาทสัมผัสทั้งหลายของเรา ในเวลากลางคืนเรากลับมองสิ่งเดียวกันนั้นในด้านสังคม-จริยธรรม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ด้านจิต-วิญญาณ ดังนั้น เราจึงกำหนดบางกรณีศึกษาไว้ในช่วงที่มีเวลากลางคืนคั่นระหว่างการอภิปรายเรื่องการวินิจฉัยกับเรื่องการบำบัด เพื่อช่วยให้เราเรียนรู้ที่จะสังเกตว่าความคิดหรือความเห็นบางอย่างสามารถแปรเปลี่ยนตัวเองได้เพียงจากการที่เราตั้งใจเก็บความคิดเห็นนั้นติดตัวไปในยามกลางคืน
จริยธรรมทางวิชาชีพ การตริตรอง และการพัฒนาตนเอง
เราจะสร้างปัจจัยพื้นฐานในการพัฒนาตนเองและการเรียนรู้ที่จะตริตรองในใจตามวิถีแห่งมนุษยปรัชญาขึ้นมา โดยสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการทบทวนและการฉายภาพล่วงหน้าในแต่ละวัน พร้อมทั้งคำถามจากผู้เข้าร่วมการอบรม การอบรมจะแสดงให้เห็นและบรรลุถึงการประจักษ์ภายในว่าการพัฒนาทางจริยธรรม-คุณธรรมนั้นเป็นแหล่งในการสร้างเสริมสุขภาพที่ทรงพลังที่สุด สิ่งที่ Paracelsus เคยกล่าวไว้อาจกลายเป็นความจริงก็ได้ว่า ถึงที่สุดแล้ว พลังแห่งการเยียวยาที่แท้มีอยู่เพียงประการเดียว นั่นคือความรัก